วันเสาร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ตัวอย่างกลอนเจ็ดบรรยายภาพ หรือภาพยนตร์

Picture: satyr play lyre
Refer to: https://frameofnature.wordpress.com/2010/11/25/satyrs/

๐ คนธรรวี/วีณา/บรรเลง..........เพลงรับ /รำอัปสร/สวรรค์
เทพคน/- ธรรพ์ขับ/คีตาสรรค์....เชิงชั้น/เทพทิพย์/ดุริยางค์ ฯ|

๐ เมื่อนั้น/มหาเทพ/ไกลาส.....ละอาสน์/สำแดง/แสงสว่าง
แลสตี/ลาสยะ/สะอาง.............คู่ปาง/ศิวะ/ตาณฑะวัม ฯ|

๐ บันเทิง/ ทิพย์ศิลป์/ศิวะโลก......อโศก/ศิวะนาฏ/เลิศล้ำ
เรียกว่า/ "อานันทะ/ โยคัม"..........คือรำ/ รู้สติ/ สุขเอย ฯ|~

(เอ็ม. รุทรกุล)

ถอดคำประพันธ์: เมื่อนางคนธรรพ์บรรเลงเพลงขึ้น นางอัปสรในสวรรค์ก็ร่ายรำตาม พวกเทวดาคนธรรพ์ทั้งหลายก็ร่วมกันขับร้องเพลงสวรรค์ชั้นสูงประกอบกับการแสดงของวงดนตรีที่เป็นทิพย์
ในตอนนั้นเองพระศิวะมหาเทพแห่งเขาไกลาสก็ลุกจากที่นั่งแสดงรัศมีที่สว่าง พร้อมกับนางปารวตี (สตี) ที่แสดงการเต้นรำลาสยะลีลาที่สวยงาม คู่กับการเต้นรำ "ตาณฑวะ" ลีลาของพระศิวะ

  ลีลานาฏกรรมของพระศิวะนั้นดียิ่งทำให้ปราศจากความเศร้า และสร้างความบันเทิงด้วยศิลปะอันเป็นทิพย์ของพระเจ้าให้กับสวรรค์ของพระศิวะ (ศิวะโลก /ไกลาส) ที่เรียกว่า "อานันทะโยคะ" หมายถึงการเต้นรำที่มีสติสมาธิ จนเข้าถึงความปิติสุขในใจ


Picture: Shiva and Parvati danceing
Refer to: http://danvantritemple.org/homam/shiva-shakti%20Homam.html

♩♪♫♬♭♮♯♩♪♫♬♭♮♯♩♪♫♬♭♮♯♩


 ปล. ที่เห็นเป็นบุรุษมีเขาอยู่ เรียกว่า คณะ (เทพ) ซึ่งเป็นความเชื่อที่ซ้อนทำกับพวกคนธรรพ์ และ Satyr ของกรีก อาจารย์ทางประวัติศาสตร์ศิลป์มักอธิบายตามตำราอังกฤษว่า เป็นอสูรร่างแคะ ซึ่งอาจจะแปลมาจากคำว่า Demon ในภาษาอังกฤษซึ่งความจริงคำนี้น่าจะแปลเป็นไทยว่า อมนุษย์มากกว่า (ในบางครั้ง) เพราะ "อสูร"คือศัตรูของเทวดา และ "คณะ" (เทพ) ตามตำนานปุราณว่าเดิมเป็นญาติกับเทพโคนนทิ เป็นพวกพราหมณ์มาก่อนเมื่อพราหมณ์หรือลูกฤาษีศิลาท "นนทิ" บำเพ็ญตนจนพระศิวะโปรดให้ขึ้นมาบนสวรรค์เป็นเทพพาหนะ ก็อนุญาตให้เหล่าญาติเทพโคนนท์ที่เป็นพราหมณ์ขึ้นมาเป็นคณะ (เทพ) ด้วย โดยมีเทพโคนนทิเป็นหัวหน้า แต่ต่อมาเมื่อพระคเณศเปลี่ยนเป็นเศียรช้างแล้ว พระศิวะก็มอบให้พระคเณศเป็นหัวหน้าเหล่าคณะ (เทพ) อีกทีหนึ่งจึ่งได้ชื่อว่า คณปติ, คเณศ และ คเณศวร (ผู้เป็นคเณศวร ยังได้แก่ พระอุมา ขันธกุมาร เทพโคนนทิ และสาวกพระศิวะอื่น ๆ ร่วมทั้งสิ้นแปดตนด้วย) ดั้งนั้นคณะคือเทพรับใช้ในศิวะโลก ในการทำพิธีสวดบูชาพระศิวะ คณะจึงทำการเล่นดนตรี และนางอัปสรที่เป็นทั้งเพื่อนและบริวารพระอุมาจะฟ้อนรำ ไปพร้อมกับการขับร้องของเทพต่าง ๆ ในเขาไกลาสเพื่อบูชาและปลุกพระศิวะให้ตื่นจากการนั่งสมาธิและภาวะนิรคุณ ชึ่งไม่ปรากฏรูป "


ท่าศิวนาฏราชทั้งหมดกว่าร้อยแปดท่ารำ พระอุมาเทวี หรือปารวตีสามารถเต้นตามพระศิวะได้หมดทุกท่ายกเว้นท่าที่เอาเท้าเก็บต่างหู เพราะพระอุมาเทวี หรือปางเจ้าแม่ศิวกามี ที่ยืนอยู่ข้างศิวนาฏราชตนนั้น ไม่เต้นตามเพราะพระนางมองว่าไม่สุภาพ เพราะท่านี้ต้องยกขาชี้ฟ้าข้างหนึ่ง (อาจจะทำให้โยนีโผล่ สมัยนั้นอาจไม่มี กกน. ซึ่งท่านี้เป็นท่าเดียวกับท่าตรีวิกรม หรือท่าเหยียบสามโลกของพระนารายณ์ ...อาจารย์แขกท่านหนึ่งเล่าให้ฟัง)



 อานันทะตาณฑวะ คือจักรวาลแห่งการเต้นรำของพระศิวะที่เป็นการสร้างและทำลายโลกอันเป็นวัฏสงสาร ในความเชื่อของชาวฮินดู ตามสัญลักษณะต่าง ๆ ในเทวรูปพระศิวปาง "ศิวนาฏราช" 

ซึ่ง "ตาณฑวะ" คือศิลปะการเต้นรำของพระศิวะ หรือท่าทางการเต้นรำของบุรุษเพศที่แข็งแรง 
ส่วน " ลาสยะ" คือศิลปะการเต้นรำของศักติ หรือเจ้าแม่ปารวตี หรือท่าทางลีลาการเต้นรำที่อ่อนช้อยสวยงามของสตรี

ซึ่งผู้ที่เข้าถึงความสุขที่เกิดจากการเต้นรำที่มีระเบียบแบบแผน ตามจังหวะและเสียงเพลง ด้วยใจที่สงบ มีปิติ และมีสติ เช่นเดียวกับการทำสมาธิในระหว่างเต้นรำ ชาวฮินดูผู้เป็นนักเต้นชั้นครูเรียกว่า "อานันทะโยคะ"


Picture: Trivikarma (Vamana ท่านารายณ์เหยียบสามโลก)
Refer to: https://www.pinterest.com/pin/381891243376876765/

Notes: 1) คนธรรวี มาจากคำ คนฺธรฺวี แปลว่า นางคนธรรพ์
    ซึ่งตามตำนานมักกล่าวคนธรรพ์ satyr ? ส่วนใหญ่ที่เป็นชายมักสมาคมและแต่งงานกับนางอัปสร nymph ? ในสวรรค์เพราะนางอุรวศี ก็ให้ท้าวปุรุรวัสชายคนรักพยายามเข้าเป็นพวกคนธรรพ์เพื่อจะได้อยู่กินกับนาง แต่ในบางตำนานก็กล่าวถึงเมืองของพวกคนธรรพ์ดังนั้นก็ต้องมีคนธรรพ์ผู้หญิงหรือคนธรรวีด้วย แต่น่าจะอยู่เย้าเฝ้ากับเรือนจึงไม่ค่อยปรากฏบทบาทในวรรณคดีสันสกฤตมากนัก แต่เชื่อว่า คนธรรพ์ของอินเดียน่าเทียบได้กับ Satyr และนางอัปสรคือ Nymph ในตำนานกรีก ที่เมื่อแต่งงานกัน ลูกน่าจะไปอยู่ทางพ่อหมด เพราะนางอัปสร ไม่แก่ไม่ตาย เมื่อคลอดลูกแล้วกลับเป็นสาวอีกครั้งด้วยพรของพระเจ้าก็ไปหาสามีใหม่..ไม่ดูแลลูก (ยกเว้นบางตนที่เป็นมเหสีของกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่) นางอัปสรจึงน่าจะมีจำนวนเท่าเดิมไม่เพิ่มไม่ลด ในขณะที่พวกคนธรรพ์รบกัน และฆ่ากันตายได้ เพื่อแย่งนารีผลกับอมนุษย์พวกอื่นในป่าหิมพานต์ แย่งอำนาจกับพวกมนุษย์ชนเผ่าอื่น ๆ (อย่างในเรื่องรามเกียรติ์) จึงต้องเพิ่มประชากรเพื่อให้ดำรงอยู่
      2) สตี คือ
               2.1) ชื่อธิดาของท้าวทักษะ หรือเทพทักษะ หนึ่งในเทพ 33 ตน เสนาบดีของพระอินทร์ ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งเคยเป็นใหญ่ปกครองทั้งสามโลก เพราะทักษะประชาบดี เป็นบุตรของพระพรหม ชอบทำยัญชพิธีเพื่อเพิ่มอำนาจให้ตนเองและเหล่าเทวดาทั้งหลายที่เป็นลูกเขยของตน เนื่องจากท้าวทักษะไม่เคารพพ่อคือพระพรหมจึงถูกสาปให้มีแต่ลูกสาว ซึ่งลูกสาวพระทักษะทั้งหมดก็แต่งงานกับพวกเทวดาที่สำคัญของฮินดูเกือบทั้งหมด ทำให้ท้าวทักษะมีอหังการมากคิดว่าตนยิ่งใหญ่ไม่เคารพดูถูกพระศิวะ เพราะพระศิวะมีพฤติกรรมอย่างฤาษีน่ากลัว คือชอบอยู่ในป่าช้า เอากระโหลกแขนคอ จึงได้ไม่เชิญพระศิวะมาในพิธียัญชะที่ตนเชิญเทวดาทั้งสวรรค์มา ทำให้นางสตีโกรธกระโดดเข้ากองไฟฆ่าตัวตาย พระศิวะจึงอวตารเป็น "วีรภัทระ" บุกเข้ามาทำลายพิธียัญชะ แล้วตัดหัวท้าวทักษะประชาบดี เทพแห่งปัญญาเปลี่ยนกับเศียรแพะที่ใช้ฆ่าบูชายัญในพิธีนั้น เพื่อประกาศความโง่ของท้าวทักษะ จากนั้นก็อุ้มร่างนางสตีที่ตายแล้ววิ่งร้องไห้อย่างน่ากลัวไปทั่วจักรวาล จนพระนารายณ์ต้องใช้จักรทำลายศพนางสตี เป็นชิ้นส่วนต่าง ๆ ตกไปบนโลก พระศิวะจึงได้สติกลับไปบำเพ็ญสมาธิถือพรหมจรรย์อยู่ตนเดียวไม่ยุ่งกับใคร ส่วนวิญญาณนางสตีก็ไปเกิดใหม่เป็นลูกสาวท้าวหิมวัตชื่อว่า "ปารวตี" ต่อมาได้กลายเป็นชายาของพระศิวะอีกครั้งด้วยความช่วยเหลือของกามเทพที่ได้สละชีวิตด้วยความโกรธของพระศิวะ เพราะยิงศรแห่งความรักไปปักอกพระศิวะ พระศิวะจึงใช้เนตรที่สามเผากามเทพทิ้งไป แต่ภาพหลังก็รับนางปารวตีมาเป็นชายาเพราะเห็นใจการที่นางเฝ้าบูชาศิวลิงค์ของพระองค์ด้วยความภักดี นางปารวตีจึงได้สมญานามว่า "อุมาเทวี" มาตาแห่งโลกและอวตารมาเป็น "โยนี" ฐานของศิวลิงค์ ภายหลังนางรติชายากามเทพ และอุมาเทวี จึงวิงวอนพระศิวะให้ชุบชีวิตกามเทพ แต่ศิวะกลับให้พรว่ากามเทพจะไปเกิดเป็นลูกชายพระกฤษณะ อวตารของพระนารายณ์ ชื่อ "ปรัทยุมนะ" พ่อของพระอนิรุทธ์แทน
                   2.2) ชื่อพิธีกรรมที่ภรรยาชาวฮินดู จะต้องฆ่าหรือถูกฆ่าตามสามีที่ตายไป เพื่อแสดงความซื่อสัตย์ต่อสามี เช่นนางสตีเทวี อดีตชาติชายาพระศิวะ หรือตามไปรับใช้สามี (แบบคติจีนก่อนยุคจิ๋นซี) ในสมัยโบราณของอินเดีย ซึ่งทางชวามลายู (อินโดนีเซีย มาเลเซีย) เรียกว่าพิธีแบหลา (นอนแบหลา นอนกางมือกางเท้า ให้เขาฆ่า? แต่ในไทยหมายถึงนอนกางมือกางเท้าเท่านั้น) ซึ่งถ้าสตรีใดไม่อยากฆ่าตัวตายตามสามีไป ต้องหนีออกจากบ้านสามีก่อนถูกจับฆ่า หนีไปอยู่เมืองแม่ม่ายนุ่งขาวห่มขาวห้ามแต่งงานใหม่ถือพรหมจรรย์ไปตลอดชีวิต ซึ่งในกรณีที่มีลูกอ่อนต้องเลี้ยงดู และสามีมีภรรยาหลายคน ก็ให้เลือกหนึ่งในนั้นฆ่าตัวตาย หรือถูกเผาพร้อมศพสามีไป ส่วนภรรยาที่เหลือก็นุ่งขาวถือพรหมจรรย์ห้ามแต่งงานใหม่ และอยู่เลี้ยงลูกต่อไปได้เช่น นางกุนตี ชายาท้าวปาณฑุพ่อของพวกปาณฑพทั้งห้า (ยุธิษฐิระ ภีมะ อรชุน นกุล และสหเทพ) ในเรื่องมหาภารตยุทธ์
               3) ในภาษาทมิฬ นิยมใช้  /ไอ/ เป็นวิภัตติ suffix เอกพจน์เพศหญิง เช่น สีตา เป็น นางสีไต (นางสีดา)  ถ้าเป็นเอกพจน์ เพศชาย จะใช้ /น/ เช่น รามะ กลายเป็น อิรามัน (อ่าน รา-มัน ชื่อพระรามภาษาทมิฬ /อิ/ ไม่ออกเสียง ตามกฎภาษาทมิฬ)  ถ้าเป็นพหูพจน์เชิงยกย่องไม่ระบุเพศจะใช้ /ร/ เช่น เทวะ ในสันสกฤตกลายเป็น เทวัร (เท - วัร : ท่านเทวดา) ส่วน /ม/ ลงท้ายคำนามเอกพจน์ที่ไม่ระบุเพศ ตาณฑวะ กลายเป็น ตาณฑวัม (อ่าน ตาน-ดะ-วัม) และโยคะ กลายเป็นโยคัม (อ่าน โย-คัม) ในภาษาทมิฬ
                4) พระนารท ฤาษีได้สมญานามว่า คนฺธรฺวราชะ (คนธรรพ์ราชัน) หมายถึง ราชาของพวกคนธรรพ์ ตามความสามารถในทางดนตรี เป็นเรียกเชิงยกย่องว่ามีความสามารถทางดนตรีเป็นเลิศ (ปัจจุบันยังใช่เป็นคำยกย่องนักดนตรีที่เก่งในรัฐทมิฬนาฑู) เพราะถือว่าการเล่นดนตรีและการเต้นรำเป็น คนฺธรฺวศาสฺตฺระ (คนธรรพ์ศาสตร์ : ความรู้ของพวกคนธรรพ์) แต่เทพฤาษีไม่ใช่เจ้าเมืองของพวกคนธรรพ์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น